10 ความแตกต่างระหว่างคันโตและคันไซที่คนไม่รู้ - น้ำกระด้าง ภาษา วัฒนธรรม และอื่นๆ

คุณเป็น "สายคันโต" หรือ "สายคันไซ" ของญี่ปุ่นกันนะ? คันโตและคันไซของญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมและประเพณีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ความชอบด้านอาหาร ลำดับการอาบน้ำในอ่างน้ำร้อนสาธารณะ และอื่นๆ อีกมากมาย แม้กระทั่งความกระด้างของน้ำก็ต่างกัน! แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็อาจไม่รู้ ครั้งนี้เราได้รวบรวม 10 ความรู้แปลกๆ เกี่ยวกับ "ความแตกต่างในการใช้ชีวิตระหว่างคันโตและคันไซ" มาให้คุณแล้ว!

ที่มาของภาพ:Photo AC 1Photo AC 2

คันโตและคันไซหมายถึงพื้นที่ใดในญี่ปุ่น?

คำว่า "คัน (関)" ในคำว่า "คันโต" และ "คันไซ" เดิมหมายถึง "ด่านตรวจ" หรือจุดตรวจผ่านทาง นักเดินทางที่ผ่านจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยที่ด่านตรวจ โดยคันโตและคันไซหมายถึง "พื้นที่ทางตะวันออกของด่านตรวจ" และ "พื้นที่ทางตะวันตกของด่านตรวจ" ตามลำดับ ในสมัยโบราณ "คันโต" หมายถึงพื้นที่ทางตะวันออกของด่านตรวจสำคัญสามแห่ง (ซุซุกะ, ฟุวะ, เอจิซุ) ส่วนคำว่า "คันไซ" เริ่มใช้ในช่วงกลางสมัยเฮอัน หมายถึงพื้นที่ทางตะวันตกของด่านตรวจโอซากะ (ปัจจุบันคือจังหวัดชิกะ)

ถนนโอฮาไรมาจิ (おはらい町) หน้าศาลเจ้าอิเสะในเมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะถนนโอฮาไรมาจิ (おはらい町) หน้าศาลเจ้าอิเสะในเมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะ
ที่มาของภาพ:Photo AC

แต่เดิมพื้นที่คันโตและคันไซไม่มีเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน แต่ปัจจุบันคันโตหมายถึงพื้นที่โดยมีโตเกียวเป็นศูนย์กลาง รวมถึงพื้นที่โดยรอบอย่างจังหวัดชิบะ, จังหวัดคานากาวะ, จังหวัดไซตามะ,จังหวัดกุนมะ, จังหวัดอิบารากิ, จังหวัดโทจิงิ เป็นต้น ส่วนภูมิภาคคันไซนั้นมีโอซาก้าเป็นศูนย์กลาง รวมถึงพื้นที่โดยรอบอย่างเกียวโต, จังหวัดนารา, จังหวัดเฮียวโกะ, จังหวัดวากายามะ, จังหวัดชิงะ, จังหวัดมิเอะ เป็นต้น

สำหรับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวัฒนธรรมคันโตและคันไซ ดูที่ได้ที่นี่เลย!
'คันโต และ คันไซ' ต่างกันอย่างไร ? วิเคราะห์ความแตกต่างทั้งด้านอาหารและวิถีชีวิตครบจบในที่เดียว!

【ด้านชีวิตประจำวัน】

ความรู้แปลกๆ ①: น้ำในคันโตกระด้างกว่าคันไซ?

ที่มาของภาพ:Photo AC

คุณภาพน้ำโดยรวมของญี่ปุ่นจัดเป็น "น้ำอ่อน" โดยมีค่าความกระด้างเฉลี่ย 50 มิลลิกรัมต่อลิตร มีแร่ธาตุต่ำ จึงมีรสชาติหวานและดื่มง่าย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่คันโตและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในละติจูดที่สูงและมีหิมะตกมาก เมื่อหิมะละลายและซึมลงสู่ชั้นดิน จะทำให้แร่ธาตุละลายในน้ำมากขึ้น ส่งผลให้น้ำมีความกระด้างสูงขึ้น โดยน้ำในคันโตมีค่าความกระด้างเฉลี่ย 60-80 มิลลิกรัมต่อลิตร ส่วนในภูมิภาคคันไซอยู่ที่ 30-50 มิลลิกรัมต่อลิตร

ความกระด้างของน้ำทำให้เหล้าที่หมักมีรสชาติต่างกัน
ที่มาของภาพ:Photo AC
น้ำซุปคอมบุควรใช้น้ำอ่อนในการปรุง
ที่มาของภาพ:Photo AC

ความแตกต่างของความกระด้างของน้ำยังส่งผลต่ออาหารและการปรุงอาหารด้วย น้ำในคันโตที่ค่อนข้างกระด้าง มีรสชาติหนักแน่น เหมาะสำหรับการเคี่ยวซุปคัตสึโอบุชิ (ปลาแห้ง) และซุปโชยุ (ซีอิ๊ว) สาเกที่หมักในพื้นที่นี้จะมีรสชาติ "แห้ง" มากกว่า ส่วนน้ำในคันไซมีแร่ธาตุต่ำ รสชาติสดชื่น เมื่อนำมาต้มซุปคอมบุจะได้รสชาติหวานอร่อย สาเกที่หมักด้วยน้ำอ่อนจะมีรสชาตินุ่มนวลและหวานกว่า

ความรู้แปลกๆ ②: ในคันไซ บัตร IC สำหรับเดินทางที่มี "เงินเหลือเพียง 1 เยน" ก็สามารถผ่านเข้าสถานีได้?

เมื่อใช้บัตร IC สำหรับเดินทางในพื้นที่คันโต คุณต้องคอยตรวจสอบ "ยอดเงินคงเหลือในบัตร" ว่ามีเพียงพอหรือไม่ อย่างน้อยคุณต้องมี "ค่าโดยสารขั้นต่ำ" จึงจะเข้าสถานีได้ และจำนวนเงินที่กำหนดโดยระบบรถไฟแต่ละบริษัทก็ไม่เหมือนกัน แต่ในภูมิภาคคันไซ เมื่อขึ้นรถไฟ JR West คุณเพียงแค่มี 1 เยนในบัตรก็สามารถผ่านเข้าสถานีได้! แม้แต่บัตรที่ออกในพื้นที่คันโต เช่น Suica หรือ PASMO ตราบใดที่อยู่ในเขตบริการของ JR West หากมียอดเงินคงเหลือ 1 เยน ก็สามารถแตะบัตรเข้าสถานีได้ คุณสามารถจ่ายส่วนต่างที่เครื่องชำระเงินอัตโนมัติก่อนออกจากสถานี นี่เป็นความสะดวกอย่างมากสำหรับผู้ที่เร่งรีบเข้าสถานีเพื่อขึ้นรถไฟ

ความรู้แปลกๆ ③: ที่ "เซ็นโต (โรงอาบน้ำสาธารณะ)" ควรอาบน้ำก่อนหรือแช่น้ำก่อน?

ที่มาของภาพ:Photo AC

"เซ็นโต" วัฒนธรรมเฉพาะของญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โรงอาบน้ำสาธารณะในพื้นที่คันโตและคันไซมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือตำแหน่งของ "อ่างอาบน้ำ (ยุบุเนะ)" ในคันโต เมื่อเข้าจากทางเข้า คุณจะเจอพื้นที่ฝักบัวก่อน แล้วจึงถึงอ่างอาบน้ำที่อยู่ด้านในสุด ส่วนในคันไซ อ่างอาบน้ำจะอยู่ตรงกลาง สามารถมองเห็นได้ทันทีเมื่อเข้าประตู มีการกล่าวกันว่าในสมัยก่อน คนในคันโตส่วนใหญ่เป็นกรรมกร พวกเขาเคยชินกับการชำระร่างกายให้สะอาดก่อนลงแช่อ่างอาบน้ำ ในขณะที่คนในคันไซส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า พวกเขาชอบแช่น้ำให้ร่างกายอบอุ่นก่อนแล้วค่อยชำระร่างกาย การออกแบบโรงอาบน้ำจึงปรับตามลักษณะการใช้ชีวิตของผู้คน ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างตะวันออกและตะวันตก

ความรู้แปลกๆ ④: กระดาษชำระ "ชั้นเดียว" หรือ "สองชั้น" คุณเป็นฝ่ายไหน?

ที่มาของภาพ:Photo AC

คุณเป็นฝ่าย "กระดาษชำระสองชั้น" หรือ "กระดาษชำระชั้นเดียว"? กระดาษชำระม้วนในห้องน้ำญี่ปุ่นมีทั้งแบบชั้นเดียวและสองชั้น แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่ากระดาษสองชั้นไม่ได้เกิดจากการซ้อนกระดาษชั้นเดียวสองแผ่น กระดาษชั้นเดียวมีความหนาและแข็งแรงกว่า ไม่ฉีกขาดง่ายเวลาใช้ ส่วนกระดาษสองชั้นเกิดจากการประกบกระดาษที่นุ่มกว่าสองแผ่นเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและให้สัมผัสที่นุ่มฟูกว่า จากการสำรวจพบว่า คนในคันโตนิยมใช้ "กระดาษชำระสองชั้น" ส่วนคนในคันไซเป็นผู้สนับสนุน "กระดาษชำระชั้นเดียว"!

ความรู้แปลกๆ ⑤: "เกมนิ้วโป้ง" มีคำขานหลากหลาย!

ที่มาของภาพ:Photo AC

คนญี่ปุ่นมักเล่น "เกมนิ้วโป้ง (โอยายุบิเกม)" เมื่อมีการรวมตัวกัน วิธีเล่นคือทุกคนยื่นมือทั้งสองข้างออกมา ผลัดกันพูด "คำขาน+ตัวเลข" พร้อมกับชูนิ้วโป้งขึ้นแบบสุ่ม หากตัวเลขที่พูดตรงกับจำนวนนิ้วโป้งที่ชูขึ้นทั้งหมด ผู้เล่นคนนั้นจะได้เก็บมือข้างหนึ่ง ผู้ที่เก็บมือได้ทั้งสองข้างคือผู้ชนะ! ส่วน "คำขาน" นั้นแตกต่างกันไปตามภูมิภาคคันโตและคันไซ ในคันโตนิยมพูดว่า "อิสเซโนเสะ" และ "ยุบิสุมะ" ส่วนในคันไซมักใช้คำขานว่า "อิสเซโนเดะ" นอกจากนี้ยังมีการคิดคำขานเฉพาะขึ้นมาอีกมากมายในแต่ละท้องถิ่น ความหลากหลายนี้แสดงให้เห็นว่าเกมนิ้วโป้งได้รับความนิยมมากแค่ไหนในหมู่คนญี่ปุ่น

【ด้านอาหาร】

ความรู้แปลกๆ ⑥: ซุปมิโซะควรวางทางซ้ายหรือทางขวา?

การจัดวางอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ซุปมิโซะมักอยู่ด้านหน้าขวา
ที่มาของภาพ:Photo AC

เวลาทานอาหารชุดแบบญี่ปุ่น คุณเคยสังเกตตำแหน่งการวาง "ซุปมิโซะ" หรือไม่? ตามแบบการจัดวางอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิม ข้าวมักจะวางอยู่ด้านหน้าซ้าย จานหลักจะวางอยู่ด้านในของโต๊ะ และซุปมิโซะจะวางอยู่ "ด้านหน้าขวา" พื้นที่คันโตส่วนใหญ่ยังคงรักษาการจัดวางแบบดั้งเดิมนี้ไว้ แต่คันไซแตกต่างออกไป! จากการสำรวจพบว่า โดยเฉพาะในจังหวัดโอซาก้า เกียวโต และเฮียวโกะ คนส่วนใหญ่จะวางซุปมิโซะไว้ "ด้านหลังซ้าย" มีคำอธิบายว่าภูมิภาคคันไซได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมพ่อค้าอย่างมาก เพื่อความสะดวกในการรับประทานอาหาร พวกเขาจะวางซุปร้อนไว้ในตำแหน่งที่ไกลออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการลวกมือ

ความรู้แปลกๆ ⑦: คนคันโตดื่มน้ำต้มโซบะ คนคันไซไม่ดื่ม

ที่มาของภาพ:Photo AC

อาหารยอดนิยมของญี่ปุ่น "โซบะ" มีวิธีรับประทานหลากหลาย ทั้งโซบะเย็นและโซบะร้อนต่างก็มีจุดเด่นในการลิ้มรสที่แตกต่างกัน ในพื้นที่คันโต เมื่อสั่งโซบะเย็น ร้านมักจะเสิร์ฟ "น้ำต้มโซบะ" หรือน้ำที่ใช้ต้มเส้นโซบะมาด้วย เนื่องจากมีสารอาหารอุดมสมบูรณ์ การดื่มสักถ้วยหลังมื้ออาหารช่วยให้ท้องอุ่น แต่คนคันไซไม่ค่อยมีธรรมเนียมในการดื่ม "น้ำต้มโซบะ" ทางร้านก็ไม่ได้นำมาเสิร์ฟให้โดยอัตโนมัติ หากต้องการดื่ม จะต้องขอกับทางร้านเป็นพิเศษ

ความรู้แปลกๆ ⑧: "นิคุจากะ" (เนื้อตุ๋นกับมันฝรั่ง) ใช้เนื้อวัวหรือเนื้อหมู?

พื้นที่คันโตนิยมใช้เนื้อหมูในการทำนิคุจากะ
ที่มาของภาพ:Photo AC

"นิคุจากะ (肉じゃが)" เป็นอาหารบ้านแบบญี่ปุ่นที่เป็นตำนาน โดยหลักๆ จะตุ๋นมันฝรั่ง แครอท หัวหอมกับเนื้อสัตว์ และ "เนื้อสัตว์" ที่ใช้ในแต่ละภูมิภาคก็แตกต่างกัน คนในคันโตมักชอบใช้ "เนื้อหมู" ส่วนในคันไซ "เนื้อวัว" จะได้รับความนิยมมากกว่า สาเหตุสามารถดูได้จากประวัติการพัฒนาปศุสัตว์ของญี่ปุ่น เนื่องจากภูมิอากาศในคันโตหนาวกว่า เหมาะกับการเลี้ยง "ม้า" ซึ่งเคลื่อนไหวรวดเร็ว ส่วนในคันไซที่มีอากาศอบอุ่นกว่ามักเลี้ยง "วัว" ตามกาลเวลา พื้นที่คันโตจึงค่อยๆ พัฒนาวัฒนธรรมการกินที่ใช้ "เนื้อหมู" แทนเนื้อม้า ซึ่งยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

【ด้านภาษา】

ความรู้แปลกๆ ⑨: คนคันไซชอบเติม "ซัง (さん)" ท้ายสิ่งต่างๆ?

คนคันไซเรียกเต้าหู้ทอดว่า "โออาเงะซัง (お揚げさん)" หรือ "คุณเต้าหู้ทอด"
ที่มาของภาพ:Photo AC

ในภาษาญี่ปุ่น "ซัง (さん)" เมื่อใช้ต่อท้ายชื่อคน มักใช้เพื่อแสดงความเคารพแบบ "คุณ" หรือ "นาย/นางสาว" แต่เมื่อพูดคุยกับคนคันไซ คุณจะพบว่าหลายคนมีนิสัยใช้ "ซัง" กับสิ่งที่ไม่ใช่คนด้วย เช่น ใส่ "ซัง" ต่อท้ายชื่อร้าน หรืออาหาร อย่าง "โออิโมะซัง (お芋さん)" (คุณมันเทศ), "โออาเงะซัง (お揚げさん)" (คุณเต้าหู้ทอด) และอื่นๆ แม้แต่คำทักทายก็สามารถเติม "ซัง" ได้ ที่ได้ยินบ่อยที่สุดคือ "โอฮาโยซัง (おはようさん)" การใช้ภาษาถิ่นคันไซแบบนี้ทำให้น้ำเสียงดูนุ่มนวลและเป็นกันเองมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากสำเนียงคันโตที่ตรงไปตรงมา

ความรู้แปลกๆ ⑩: ภาษาที่ใช้ในฝั่งตะวันออกและตะวันตกของญี่ปุ่นแตกต่างกันมาก!

"ของแนม" มีชื่อเรียกต่างกันในคันโตและคันไซ
ที่มาของภาพ:Photo AC

ความแตกต่างทางประวัติศาสตร์และการพัฒนาทางวัฒนธรรมระหว่างคันโตและคันไซส่งผลให้เกิดความแตกต่างในการใช้ภาษา นอกจากที่ทุกคนรู้กันดีว่า "สำเนียงคันโต" และ "สำเนียงคันไซ" มีความแตกต่างอย่างมากในเรื่องการออกเสียงและสำนวนที่ใช้แล้ว คำเรียกสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่น "ของแนม" ในร้านอิซากายะ คนคันโตเรียกว่า "โอโทชิ (お通し)" ขณะที่คนคันไซเรียกว่า "สึคิดาชิ (突き出し)" หรือ "นักศึกษาปี○" ในคันโตเรียกว่า "○เนนเซ (○年生)" ส่วนในคันไซเรียกว่า "○ไคเซ (○回生)" เป็นต้น

คันโตและคันไซมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่แตกต่างกันทั้งด้านอาหาร ภาษา และวิถีชีวิต สะท้อนให้เห็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของทั้งสองภูมิภาค การเดินทางสำรวจทั้งสองพื้นที่จะทำให้เข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้อย่างลึกซึ้ง

☞ อ่านเพิ่มเติม
'คันโต และ คันไซ' ต่างกันอย่างไร ? วิเคราะห์ความแตกต่างทั้งด้านอาหารและวิถีชีวิตครบจบในที่เดียว!
วิธีชมซากุระญี่ปุ่น 2025 - จองที่ อุปกรณ์ มารยาท และข้อห้ามที่ต้องรู้