หากมาเที่ยวโตเกียวและเลือกไปได้แค่ศาลเจ้าเดียว ต้องไปศาลเจ้าเมจิที่มีผู้มาไหว้พระต้อนรับปีใหม่มากที่สุดในญี่ปุ่น! พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ 700,000 ตารางเมตร นับเป็นโอเอซิสของโตเกียว ที่ให้ผู้คนในเมืองที่วุ่นวายได้ผ่อนคลายและสงบจิตใจ นอกจากนี้ ศาลเจ้าเมจิยังอยู่ในทำเลดีเยี่ยม สามารถแวะมาได้ง่าย ๆ ระหว่างชอปปิ้งที่ชิบุยะและชินจูกุ ต่อไปนี้เราจะรวบรวมวิธีการเดินทางมาศาลเจ้าเมจิ และ10 ไฮไลต์ที่ห้ามพลาด มาดูกันเลย!
มารู้จักศาลเจ้าเมจิกันก่อน
ศาลเจ้าเมจิตั้งอยู่ใจกลางโตเกียว สร้างขึ้นในปี 1920 เพื่อรำลึกถึงจักรพรรดิเมจิและพระราชินีโชเก็ง มีพื้นที่กว้างขวางถึง 70 เฮกตาร์ ประกอบด้วยป่าที่อุดมสมบูรณ์และมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนาน ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายด้วยบรรยากาศทางประวัติศาสตร์และทัศนียภาพทางธรรมชาติอันงดงาม เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เป็นตัวแทนของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะมาชื่นชมสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม เรียนรู้ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น หรือขอพรเพื่อความสงบสุขและความเป็นสิริมงคล ศาลเจ้าเมจิก็เป็นจุดหมายที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาโตเกียว
วิธีเดินทางไปศาลเจ้าเมจิ? รวมข้อมูลการเดินทางและเวลาเปิดทำการ
ข้อมูลการเดินทาง
ศาลเจ้าเมจิตั้งอยู่แถวฮาราจูกุ การเดินทางสะดวกสบาย ไม่ว่าจะแวะมาหลังจากช้อปปิ้งที่ถนนทาเคชิตะ หรือจะไปช้อปปิ้งที่ถนนโอโมเตะซันโดหลังจากสักการะ ก็สะดวกมาก แม้แต่การเดินทางไปยังสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งอย่างชินจูกุทางเหนือและชิบุยะทางใต้ก็สะดวกมาก! แต่ด้วยพื้นที่อันกว้างขวางที่ครอบคลุมหลายสถานี คุณควรเข้าประตูไหนของศาลเจ้าเมจิดี?
ทางเข้าจากสถานีฮาราจูกุ คือ "ประตูมินามิซันโดทางใต้" แม้จะต้องเดิน 11 นาทีกว่าจะถึงศาลหลัก แต่ตั้งแต่ทางเข้าก็สามารถเห็นเสาโทริอิและต้นไม้เขียวขจีตลอดเส้นทาง ทำให้รู้สึกสดชื่น เป็นเส้นทางยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว ส่วนเส้นทางที่ใกล้ที่สุดคือลงที่สถานีซังกูบาชิ แล้วเข้าทาง "ประตูตะวันตก" ใช้เวลาเดินเพียง 9 นาทีก็ถึงศาลหลัก ทุกคนสามารถเลือกประตูทางเข้าตามความเหมาะสมกับแผนการเดินทางของตัวเองได้!
รวบรวมให้แล้ว: ประตูทั้ง 3 ของศาลเจ้าเมจิมีอะไรบ้าง?
・ประตูฮาราจูกุ (ประตูใต้): สถานี JR สาย Yamanote "ฮาราจูกุ"
・ประตูโยโยกิ (ประตูเหนือ): สถานี JR สาย Yamanote / รถไฟใต้ดินโทเอย์สายโออิเอโดะ "โยโยกิ"; รถไฟใต้ดินโตเกียวสายฟุคุโตะชิน "คิตะซันโด"
・ประตูซังกุบาชิ (ประตูตะวันตก): รถไฟสายโอดาคิว "ซังกุบาชิ"
เวลาเปิดทำการ
【เดือน】 | ||
---|---|---|
มกราคม | ||
กุมภาพันธ์ | ||
มีนาคม | ||
เมษายน | ||
พฤษภาคม | ||
มิถุนายน | ||
กรกฎาคม | ||
สิงหาคม | ||
กันยายน | ||
ตุลาคม | ||
พฤศจิกายน | ||
ธันวาคม |
เวลาเปิดและปิดของศาลเจ้าเมจิมีความพิเศษ โดยจะปรับตามเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตกของแต่ละเดือน เปิดเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นและปิดเมื่อพระอาทิตย์ตก ดังนั้นเวลาเปิดทำการจะแตกต่างกันในแต่ละเดือน พูดง่าย ๆ คือยิ่งใกล้ฤดูร้อนเวลาเปิดก็จะยิ่งยาวนานขึ้น เวลาเปิดทำการที่สั้นที่สุดคือเดือนธันวาคม 6:40-16:00 ส่วนเวลาที่เปิดนานที่สุดคือเดือนมิถุนายน 5:00-18:30 สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ทางการ
ศาลเจ้าเมจิกับประวัติศาสตร์กว่า 100 ปี!
มาดูเทพเจ้าประจำศาลเจ้าเมจิกันก่อน! อย่างที่ชื่อบอก เทพเจ้าประจำศาลเจ้าเมจิคือจักรพรรดิองค์ที่ 122 - จักรพรรดิเมจิ และพระชายา - พระราชินีโชเก็ง พื้นที่สีเขียวกว้างใหญ่ที่ดูเหมือนปกป้องศาลเจ้านี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่แรก แต่ถูกออกแบบตั้งแต่ตอนสร้างศาลเจ้าให้กลายเป็นป่าธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ภายใน 100 ปี ศาลเจ้าเมจิได้ครบ 100 ปีในปี 2020 และตอนนี้ก็ได้กลายเป็นพื้นที่ป่าธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แล้ว!
เกร็ดความรู้: เขียนตัวอักษร "宫" ผิดหรือ?!
จริงๆ แล้วการเขียนที่ถูกต้องของ "明治神宮" ควรเป็น "明治神宫"! เห็นความแตกต่างไหม? ใช่แล้ว คือตัว "宫" ตรงกลางไม่มีขีด "ノ"! ขีดกลางในตัวอักษร "宮" แทนระเบียงทางเดินของอาคาร ในอาคารสมัยแรก ๆ ไม่มีระเบียงทางเดิน จนกระทั่งอาคารรุ่นหลังเริ่มมีระเบียงทางเดิน จึงเพิ่มขีดลงในตัว "宫" กลายเป็น "宮" อย่างที่เห็นในปัจจุบัน "明治神宫" ยังคงใช้ตัวอักษรโบราณ "宫" มาจนถึงปัจจุบัน ครั้งหน้าเมื่อเห็น อย่าคิดว่าเขียนผิดนะ!
【ต้องไปให้ได้】3 จุดห้ามพลาดของศาลเจ้าเมจิ!
ศาลเจ้าเมจิใหญ่มาก ไม่สามารถเดินดูหมดได้ในหนึ่งหรือสองชั่วโมง ถ้าเวลาไม่พอจะทำอย่างไรดี? การดูให้ "ละเอียด" ดีกว่าดูให้ "เยอะ" ต่อไปนี้เราจะรวบรวม 3 จุดห้ามพลาดของศาลเจ้าเมจิ นักท่องเที่ยวที่มาครั้งแรกจดไว้เลย!
1. เสาโทริอิขนาดใหญ่: เคยใช้ไม้จากไต้หวันด้วยนะ!
เสาโทริอิที่ตั้งอยู่ที่จุดตัดระหว่างถนนมินามิซันโดและคิตะซันโดมีขนาดใหญ่มาก สูง 11 เมตร กว้าง 15.6 เมตร เสามีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.06 เมตร เป็นสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของศาลเจ้าเมจิ ทำให้ผู้คนรู้สึกเกรงขามตั้งแต่ยังไม่ถึงศาลหลัก! เสาโทริอินี้เคยสร้างจากไม้ศักดิ์สิทธิ์อายุ 1,500 ปี และไม้นี้มาจากไต้หวัน! เสาโทริอิที่ตั้งตระหง่านมาหลายปีนี้ จึงกลายเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของศาลเจ้าเมจิอย่างสมเหตุสมผล! อย่างไรก็ตาม ศาลเจ้าเมจิได้เปลี่ยนเป็นเสาโทริอิใหม่เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2022 โดยเสาโทริอิใหม่สร้างจากไม้สนซีดาร์จากภูเขาโยชิโนะ จังหวัดนารา เป็นหลัก
2. ถังสาเกและถังเหล้าตะวันตก: สักการะจักรพรรดิผู้โปรดการดื่ม
ผู้ที่ไปศาลเจ้าบ่อย ๆ อาจจะทราบว่า ในศาลเจ้ามักจะเห็นถังสาเก แต่ที่ศาลเจ้าเมจินี้ นอกจากจะมีถังสาเกเรียงรายกันอย่างอลังการแล้ว ยังมีถังเหล้าตะวันตกด้วย! ทำไมศาลเจ้าที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแบบญี่ปุ่นถึงมีถังเหล้าแบบที่เห็นในห้องเก็บไวน์ในละครอังกฤษด้วย? เล่ากันว่าเป็นเพราะจักรพรรดิเมจิทรงโปรดเหล้าตะวันตกมาก เพื่อให้ถูกพระทัย จึงนำเหล้าตะวันตกมาใช้ในการสักการะด้วย ภาพที่ความเป็นตะวันตกและญี่ปุ่นอยู่ร่วมกันแบบนี้ เห็นได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น!
3. ศาลหลักศาลเจ้าเมจิ: ใจกลางของศาลเจ้า!
สิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อมาศาลเจ้าก็คือศาลหลัก! โดยทั่วไป เส้นทางจากเสาโทริอิถึงศาลหลักมักจะเป็นเส้นตรง แต่เส้นทางไปสู่ศาลหลักของศาลเจ้าเมจิไม่ได้เป็นเส้นตรง แถมยังมีทางเลี้ยวเกือบฉากที่ 88 องศา มีหลายตำนานเล่าขานถึงที่มา หนึ่งในนั้นกล่าวว่าเพราะเลข "8" ในญี่ปุ่นเป็นเลขนำโชค จึงเลือกใช้มุมองศานี้ แต่ไม่ว่าที่มาจะเป็นอย่างไร การที่เราเดินผ่านเสาโทริอิด้วยจิตใจที่เคารพ เดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติมาถึงศาลหลัก ก็เหมือนได้ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์!
เมื่อเข้าสู่ศาลหลัก ถ้าสังเกตสถาปัตยกรรมอย่างละเอียด จะพบว่ามีตราพิเศษแกะสลักอยู่ทุกที่! "ตราดอกเบญจมาศ" หลายแบบเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่น แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำซ้อนและแสดงความเคารพต่อตราดอกเบญจมาศ 16 กลีบของราชวงศ์ ประตูไม้ของศาลหลักศาลเจ้าเมจิจึงใช้ตราดอกเบญจมาศ 12 กลีบ ส่วนลวดลายแกะสลักอีกอันบนประตูไม้คือ "ตราพอลโลเนีย 5-3" ซึ่งคล้ายกับ "ตราพอลโลเนีย 5-7" ที่รัฐบาลญี่ปุ่นใช้ในปัจจุบัน แต่ลดจำนวนกลีบลงเช่นกันเพื่อแสดงความเคารพ เมื่อเข้าใจความเป็นมาง่าย ๆ แล้วการเดินทางมาสักการะที่ศาลเจ้าเมจิน่าสนใจมากขึ้นใช่ไหมล่ะ?
【โบนัสพิเศษ】พบได้โดยบังเอิญ: การได้เห็นพิธีแต่งงานแบบ "ชินเซ็นชิกิ"
ทุกคนคงทราบดีว่าจักรพรรดิมีสถานะสูงส่งในใจชาวญี่ปุ่น เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความ "ศักดิ์สิทธิ์" ดังนั้น ศาลเจ้าเมจิที่มีจักรพรรดิเป็นเทพประจำศาล จึงเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการจัดพิธีแต่งงานแบบ "ชินเซ็นชิกิ" ในปัจจุบัน โดยทั่วไป พิธีแต่งงานแบบ "จินเซ็นชิกิ" จะมีครอบครัวและเพื่อน ๆ เป็นพยานในการแต่งงาน แต่พิธี "ชินเซ็นชิกิ" จะจัดขึ้นต่อหน้าเทพเจ้าหรือนักบวชประจำศาล ทำให้บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น แม้จะได้เห็นเจ้าสาวในชุด "ชิโระมุกุ" และเจ้าบ่าวในชุด "มงซึกิ" เดินช้า ๆ แต่ไกล ก็ยังรู้สึกถึงความขลังและความสง่างามของพิธีได้
เกร็ดความรู้: ที่มาของพิธี "ชินเซ็นชิกิ" คืออะไร?
จริง ๆ แล้ว พิธีแต่งงาน "ชินเซ็นชิกิ" ไม่ใช่ประเพณีดั้งเดิมของญี่ปุ่น แต่เริ่มต้นโดยราชวงศ์ในสมัยเมจิเมื่อกว่า 100 ปีก่อน จนกระทั่งประชาชนเริ่มทำตาม และในที่สุดศาลเจ้าโตเกียวไดจินกูจึงได้กำหนดขั้นตอนพื้นฐานของพิธีแต่งงาน "ชินเซ็นชิกิ" ขึ้นมา
【ประสบการณ์ขั้นสูง】เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม! ทำตามชาวญี่ปุ่นกัน!
ศาลเจ้าเมจิไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยว แม้แต่คนท้องถิ่นก็ชอบมาสักการะ ทุกปีใหม่จะคนแน่นมาก ไม่อยากเป็นแค่นักท่องเที่ยวที่มาผ่าน ๆ? งั้นมาลองทำสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นทำที่ศาลเจ้ากันเถอะ!
ขอพร! ซื้อเครื่องรางมาเสริมดวง
เครื่องรางที่ศาลเจ้าเมจิมีหลากหลายชนิดมาก! ที่พิเศษที่สุดคือ "เครื่องรางกระดิ่งไม้" ที่ทำจากไม้ที่ร่วงหล่น นอกจากนี้ เครื่องรางเสริมดวงและเครื่องรางชัยชนะเป็นแบบยอดนิยมพื้นฐาน ถ้าไม่รู้จะเลือกเครื่องรางแบบไหนดี เลือกพวกนี้กลับบ้านไปก็ไม่ผิดแน่นอน!
มีความปรารถนาที่อยากให้เป็นจริง? มาเขียนป้ายเอมะกัน!
หลังจากสักการะแล้วยังมีความปรารถนาที่อยากจะขอพรอีกไหม? ถ้างั้นมาเขียน "ป้ายเอมะ" กัน! การเขียนความปรารถนาลงบนแผ่นไม้เอมะและนำไปแขวนในที่ที่กำหนดในศาลเจ้า ก็เป็นส่วนสำคัญหนึ่งในการสักการะแบบญี่ปุ่น สิ่งที่น่าสนใจคือ ในบริเวณที่แขวนป้ายเอมะของศาลเจ้าเมจิ นอกจากป้ายเอมะที่ขอพรเพื่อความราบรื่นของตัวเองแล้ว ยังมีป้ายเอมะที่ขอให้โลกสันติสุขอีกมากมายด้วย
【จุดเช็คอินระดับมือโปร】รวมจุดพลังงานยอดนิยม!
เริ่มเชี่ยวชาญศาลเจ้าเมจิขึ้นบ้างหรือยัง? งั้นรู้ไหมว่า ในศาลเจ้าเมจิยังมีจุดพลังงานหลายแห่งที่ชาวญี่ปุ่นเล่าลือกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก? ไม่ว่าจะขอเรื่องความรัก หรือแค่อยากดูดซับพลังงานดี ๆ ก็สามารถหาสถานที่ที่เหมาะสมได้ที่นี่ ถ้าช่วงนี้ชีวิตไม่ค่อยราบรื่น อย่าพลาดสถานที่ต่อไปนี้เด็ดขาด!
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ยอดนิยมสำหรับขอเรื่องความรัก - โอเมโตคุสุ
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สองต้นที่อยู่ทางด้านซ้ายหน้าศาลหลัก "โอเมโตคุสุ" (แปลว่าต้นการบูรสามีภรรยา) ตามตำนานเล่าว่าสามารถช่วยให้ชีวิตคู่ราบรื่นและครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข นอกจากนี้ยังศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องความรักและการขอคู่ด้วย ทุกคนลองแวะไปดูหลังจากสักการะศาลหลักได้ สิ่งที่ควรรู้คือ ต้นไม้ในสวนที่มีเชือกผูกไว้เหมือนโอเมโตคุสุ เชื่อกันว่าเป็น "ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์" ที่มีเทพเจ้าสถิตอยู่ ดังนั้นไม่แนะนำให้สัมผัส ถ้าอยากสัมผัสต้นไม้ในศาลเจ้าเพื่อดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ กรุณาเลือกต้นไม้ที่ไม่มีเชือกผูกนะ!
น้ำบ่อพลังงานใสดั่งกระจก - บ่อคิโยมาสะ
ในบรรดาจุดพลังงานของศาลเจ้าเมจิ ที่ได้รับความสนใจจากสื่อมากที่สุดคือ "บ่อคิโยมาสะ" ที่อยู่ใกล้ประตูเหนือของสวนเกียวเอ็น! ทำไมบ่อน้ำธรรมดา ๆ ถึงได้รับความนิยมขนาดนี้? มีตำนานหนึ่งเล่าว่าศาลเจ้าเมจิถูกสร้างบน "เส้นมังกร" ที่เป็นเส้นทางการไหลของ "พลัง" อันเป็นแก่นแท้ของภูเขาฟูจิ บ่อคิโยมาสะนี้ดูดซับพลังแก่นแท้จากภูเขาฟูจิจนกลายเป็นน้ำผุดขึ้นมา จึงกลายเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมที่ผู้มาสักการะต้องแวะเยี่ยมชม อย่างไรก็ตาม มีตำนานที่บอกว่าควรไปเยี่ยมชมบ่อคิโยมาสะในช่วงก่อนเที่ยงของวันที่อากาศดีเท่านั้น เพราะเวลาที่คนเยอะ ฝนตก หรือช่วงเย็น มักจะสะสมพลังงานด้านลบ จึงไม่แนะนำให้ไป!
เทพผู้พิทักษ์ทางทิศเหนือของศาลเจ้า - หินเต่า
ที่หน้าทางเข้าโถงสมบัติ มีหินประหลาดที่มีรูปร่างเหมือนเต่า! และมีเรื่องเล่าว่าบริเวณที่เหมือนหัวเต่านั้น สามารถแผ่พลังงานที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นได้เลยทีเดียว! นอกจากนี้ เนื่องจาก "หินเต่า" ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของศาลเจ้าเมจิ และในฮวงจุ้ยแบบญี่ปุ่น เต่าเป็นเทพผู้พิทักษ์ทิศเหนือ จึงมีคนกล่าวว่าหินเต่านี้ถูกวางไว้ในตำแหน่งนั้นโดยเฉพาะ แต่ความจริงจะเป็นอย่างไร ต้องขอให้ทุกคนไปสัมผัสด้วยตัวเองดูนะ!
พิพิธภัณฑ์ศาลเจ้าเมจิ ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง เคนโกะ คุมะ!
"พิพิธภัณฑ์ศาลเจ้าเมจิ" ที่อยู่ข้างสะพานชินบาชิบนถนนมินามิซันโด สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีของศาลเจ้าเมจิ ออกแบบโดยสถาปนิกเคนโกะ คุมะ ผู้เชื่อในแนวคิด "การผสานสถาปัตยกรรมกับธรรมชาติ" พิพิธภัณฑ์มีพื้นที่ประมาณ 3,200 ตารางเมตร สูง 2 ชั้น ภายนอกออกแบบในรูปแบบบ้านแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น (มาชิยะ) ผสมผสานกับกระจกบานใหญ่ ทำให้ผู้เข้าชมสามารถสัมผัสกับธรรมชาติภายนอกได้แม้อยู่ในอาคาร นอกจากจะจัดแสดงสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิเมจิและพระราชินีโชเก็งที่ย้ายมาจากหอสมบัติแล้ว ยังมีร้านอาหารและร้านค้าอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu Museum)
・ที่อยู่: 1-1 Yoyogi Kamizono-cho, Shibuya-ku, Tokyo
・เวลาทำการ: 10:00-16:30
・วันหยุด: ทุกวันพฤหัสบดี
・ค่าเข้าชม: ทั่วไป 1,000 เยน, มัธยมปลายลงมา 900 เยน
・เว็บไซต์ทางการ: คลิกที่นี่
ศาลเจ้าเมจิ ไม่เพียงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของโตเกียว แต่ยังเป็นสวรรค์แห่งความสงบท่ามกลางป่าใจกลางเมือง ที่พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนด้วยบรรยากาศอันร่มรื่น เสียงนกร้อง และสถาปัตยกรรมอันงดงาม เป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวโตเกียว