เปิดลายแทง "8 ย่านลับในโตเกียว" ที่มีแต่เจ้าถิ่นเท่านั้นที่รู้!

เมื่อต้องท่องเที่ยวคนเดียวในโตเกียว คุณคงไม่อยากต้องฝ่าคนอันพลุกพล่าน แต่อยากไปสำรวจในที่ๆ ยังไม่ค่อยมีคนไปและมีแต่เจ้าถิ่นที่รู้ใช่ไหมล่ะ? บทความนี้ "Japai Japan" เลยจะมาแนะนำ 8 ย่านลับที่หานักท่องเที่ยวแทบไม่เจอ เช่น นากาโนะ โอกิคุโบะ คิตะเซ็นจู ซันเก็นจายะ และมีมากมาย ที่คุณจะได้สัมผัสกับวิถีสโลว์ไลฟ์ แถมเดินทางสะดวกสุดๆ เพราะห่างจากจุดท่องเที่ยวหลักเพียงไม่กี่ก้าว ถ้าคุณเริ่มเบื่อโตเกียว ที่แห่งนี้จะทำให้คุณได้สัมผัสกับมุมมองใหม่ของโตเกียวอย่างเต็มอิ่มภายใน 1 วัน!

นากาโนะ: มาสัมผัสการใช้ชีวิตที่แท้จริงของชาวโตเกียวกัน

Nakano Broadway และ Nakano SUN MALL คือจุดที่พลุกพล่านที่สุดใน Nakano

เพียงคุณนั่งรถไฟด่วนสาย JR Chuo จากชินจุกุไปหนึ่งสถานีก็จะถึงนากาโนะ แต่บรรยากาศที่นี่แตกต่างจากชินจูกุอันทันสมัยและพลุกพล่านอย่างสิ้นเชิง ทางออกทิศเหนือของสถานี Nakano เชื่อมต่อกับช้อปปิ้งสตรีท "SUN MALL" และที่สุดทางชอปปิ้งสตรีท คุณก็จะพบกับ "Nakano Broadway" อันโด่งดัง ซึ่งเป็นสวรรค์สำหรับของเล่นอนิเมะมือสอง นาฬิกา ซูเปอร์มาร์เก็ตราคาถูก รวมถึงร้านขายผักและผลไม้ ผู้คนที่สัญจรไปมาในย่านนี้แทบทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นพนักงานออฟฟิส นักศึกษา แม้บ้าน และเหล่าผู้สูงวัย เป็นความหลากหลายที่ทำให้คุณรู้สึกถึงชีวิตชีวิตและความเป็นเมืองแบบโตเกียวแท้ๆ ได้ทันทีนับแต่ลงจากรถเลย

มีร้านค้าที่มีเอกลักษณ์มากมายใน "ถนน Arai Yakushi"

ต้นซากุระเรียงรายที่ทางเข้า Arai Yakushi Meishuin

จริงๆ แล้ว สถานีนากาโนะไม่ได้มีดีแค่แถวหน้าสถานีเท่านั้น แต่ยังมีสถานที่ๆ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซุกซ่อนอยู่เพียงคุณเดินห่างออกจากสถานีออกไป ทางด้านขวาของประตูทางออกสุดท้ายของ Nakano Broadway คือ "Showa Shindori" ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหารขนาดเล็กใหญ่หลักร้อยร้าน โดยจะคึกคักมากเป็นพิเศษในช่วงกลางคืน ส่วนทางด้านซ้าย คือ "Arai Yakushi" ที่ถึงแม้จะไม่พลุกพล่านเท่า แต่มีร้านค้าเก่าแก่สไตล์โชวะ และร้านค้าสมัยใหม่ผสมผสานกันมากมาย และ "Arai Yakushi Meisho-in" ซึ่งตั้งอยู่สุดถนน Yakushi-dori เป็นวัดที่มีชื่อเสียงด้านการขอพรเรื่องการรักษาดวงตาและการปกป้องคุ้มครองเด็ก ในบริเวณดังกล่าวและทางเดินหลักนั้นมีต้นซากุระเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ซากุระจะผลิบานอย่างงดงามเป็นอุโมงค์ที่ทอดยาวเกือบ 2 กิโลเมตรเลยทีเดียว

โอกิคุโบะ: ถนนแห่งดนตรีและวัฒนธรรม

ศาลเจ้าโอกิคุโบะฮาคุซัง ที่สถิตย์ของเทพเจ้าแห่งฟัน
แหล่งภาพ:Photo-ac

โอกิคุโบะเป็นย่านที่ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก มีช้อปปิ้งสตรีทและห้างสรรพสินค้า ถือว่าเป็นย่านที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและผ่อนคลายจนน่าอิจฉา หากคุณอยากลองหลีกหนีจากย่านใจกลางเมืองและไปสัมผัสชีวิตแบบคนท้องถิ่นในโตเกียว ที่นี่คือตัวเลือกชั้นยอด ตัวสถานีเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้า LUMINE ที่ได้รับความนิยมในหมู่สาวๆ ข้างๆ กันคือห้างสรรพสินค้า TOWN SEVEN ซึ่งรวบรวมร้านอาหารและร้านค้าเล็กๆ เอาไว้อย่างครบครัน มีช้อปปิ้งสตรีทสองสาย "ถนนโบสถ์โอกิคุโบ" ที่ทางออกทิศเหนือและ "ถนนโอกิคุโบะ มินามิกุจิ นากาโดริ" ที่ทางออกทิศใต้ เป็นแหล่งรวมตัวของร้านค้าเก่าแก่และร้านค้าที่เพิ่งเปิดใหม่ นอกจากนั้นโอกิคุโบะยังเป็นศูนย์รวมร้านราเมงชั้นหนึ่ง หากคุณกำลังตามล่าหาราเมงแสนอร่อย ก็ต้องมาที่นี่ นอกจากนี้ ยังมี "ศาลเจ้าโอกิคุโบะ ฮาคุซัง" อันมีชื่อเสียง ซึ่งเป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้าแห่งฟัน หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน เช่น ฟันผุ ต้องไม่ลืมมาขอพรที่นี่

ถนนโอกิคุโบะ มินามิกุจิ นากาโดริอันแสนคึกคัก
แหล่งภาพ:Photo-ac

โอกิคุโบะคือแหล่งราเมงต้นตำรับ
แหล่งภาพ:Photo-ac

โอกิคุโบะเคยเป็นย่านบ้านพักตากอากาศที่มีชื่อเสียง ถึงขนาดมีประโยคที่พูดถึงย่านบ้านพักตากอากาศว่า "ตะวันตกต้องคามาคุระ ตะวันออกต้องโอกิคุโบะ" จึงดึงดูดนักวิชาการและบุคคลจำนวนมากให้ย้ายมาอยู่ที่นี่ เช่น นักร้องชื่อดัง อากิโกะ โยซาโนะ, สึจิ อิบุชิ ผู้แต่ง "Ogikubo Fudoki" และอดีตนายกรัฐมนตรี ฟูมิมาโระ โคโนเอะต่างก็เคยอาศัยอยู่ในโอกิคุโบะเช่นกัน ปัจจุบัน นักเขียนและบรรณาธิการหลายคนก็อาศัยอยู่ในโอกิคุโบะ ดังนั้นโอกิคุโบะจึงถือเป็นย่านประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ และมีร้านหนังสือเก่าที่มีคุณภาพดีอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากชื่อเสียงด้านงานวรรณกรรมแล้ว โอกิคุโบะยังได้ชื่อว่าเป็น "เมืองดนตรีคลาสสิก" อีกด้วย ในเดือนพฤศจิกายน คุณสามารถนั่งชิลล์ในร้านน้ำชาที่มีการแสดงดนตรี และยังสามารถเข้าร่วม "เทศกาลดนตรีโอกิคุโบะ" เพื่อเป็นการใช้ชีวิตหนึ่งวันเก๋ๆ อย่างมีระดับได้อีกด้วย

คิตะเซ็นจู:ย่านเซ็นโต (โรงอาบน้ำสาธารณะ) แนวเรโทรที่ยังมีชีวิตชีวา

ห้างสรรพสินค้าและอาคารพาณิชย์มากมายหน้าสถานีคิตะเซ็นจู
แหล่งภาพ:Photo-ac

แม้ว่าคิตะเซ็นจูจะตั้งอยู่สุดเขตของ 23 เขตในโตเกียว แต่ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็น "ที่พักระหว่างเดินทาง" บนเส้นทางสู่นิกโกในสมัยเอโดะ และยังคงมีชีวิตชีวามาจนถึงปัจจุบันนี้ สถานี JR Kita-Senju มีผู้ใช้บริการมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง Akihabara ทุกวัน นอกจากนี้ยังได้รับเลือกให้เป็นย่านล้ำค่าอันดับ 1 โดย SUUMO ซึ่งเป็นเว็บไซต์หาที่อยู่ชื่อดังป็นเวลาเจ็ดปีติดต่อกัน คิตะเซ็นจูมีกลิ่นอายของสไตล์เรโทรย้อนยุค มีทางเดินเลียบแม่น้ำอาราคาวะที่เหมาะแก่การเดินเล่น และมักจะได้พบเห็นผู้อยู่อาศัยที่มีสไตล์อยู่เรื่อยๆ ย่านนี้จึงทำให้เหล่าผู้มาเยือนต้องติดใจกับบรยากาศผ่อนคลาย สบายๆ ของที่นี่

คิตะเซ็นจูเคยเป็นที่พักระหว่างเดินทางในสมัยเอโดะ br>แหล่งภาพ:Photo-ac

คิตะเซ็นจูเต็มไปด้วยร้านอาหารมากมายทั้งเล็กใหญ่ รวมไปถึงอิซากายะ
แหล่งภาพ:Photo-ac

เมื่อพูดถึงเซ็นจู ชาวโตเกียวรุ่นเก่าจะนึกถึง "เซ็นโต" ซึ่งปัจจุบันมีเหลือเพียง 36 แห่งเท่านั้น และหนึ่งในนั้นคือ "ทาคาระออนเซ็น" เซ็นโตซึ่งบ่งบอกถึงตัวตนของคิตะเซ็นจูได้เป็นอย่างดี ที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำโฆษณาของรถไฟใต้ดินโตเกียวเมโทรที่มี ซาโตมิ อิชิฮาระ นักแสดงชาวญี่ปุ่นชื่อดังเป็นผู้แสดงนำ ใครที่ชอบเซ็นโต บอกเลยว่าคุ้มค่าแก่การไปลอง! นอกจากนี้ "ตลาดอาดาจิ" ตรงสะพานเซนจูยังมีวัตถุดิบสดใหม่ให้เลือกซื้อ ดังนั้น คิตะเซ็นจูจึงเป็นย่านสำหรับสายกินที่ห้ามพลาด เพราะถึงแม้ชาวโตเกียวจะจู้จี้ในเรื่องรสชาติ แต่ก็มีร้านอาหารทะเลขนาดเล็กใหญ่และอิซากายะที่พวกเขาชื่นชอบอยู่ไม่น้อย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวของคาเฟ่ศิลปะ "BUoY" ซึ่งชุบชีวิตเซ็นโตที่ผุพังไปเมื่อ 20 ปีที่แล้วขึ้นมาใหม่ และอิซากายะ "ยาโกยะ" ซึ่งผสมผสานเอาความเก่าและใหม่บนช้อปปิ้งสตรีทชูบะมาจิ-โดริ ก็ช่วยสร้างบรรยากาศใหม่ๆ ให้แก่คิตะเซ็นจู ทำให้ย่านนี้เป็นย่านที่เหมาะแก่การมาเยือนทั้งกลางวันและกลางคืน

ซันเกนจายะ:โมเดิร์นเล็กๆ เชยน้อยๆ แต่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

บริเวณหน้าสถานีซันเกนจะยะ
แหล่งภาพ:Photo-ac

ซันเกนจายะ มีชื่อเล่นว่า "ซันจะ" ได้รับการโหวตให้เป็น "ย่านที่น่าอยู่อาศัยที่สุด" โดยคนหนุ่มสาวในญี่ปุ่นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลักษณะของซันจะเหมือนกับในละครญี่ปุ่นเรื่อง "Tokyo Girls" ซึ่งนางเอกได้บอกไว้ว่าเป็น "สถานที่ที่มีการผสมผสานระหว่างแฟชั่นและความเชยที่ลงตัว" ด้วยความที่มีร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ร้านขายของชำ และร้านกาแฟมากมาย ทั้งยังมีร้านค้าอยู่ตามซอกซอย และสามารถเดินทางไปยังสถานีแฟชั่นอย่าง "ชิบุย่า" ด้วยรถไฟเพียงแค่ 2 สถานี ห่างออกไปอีกหน่อยคือ ฟุตาโกะทามากาว่า และ จิยูกาโอกะ ซึ่งเป็นย่านเก๋ ในขณะเดียวกันซันจะก็ยังคงมีช้อปปิ้งสตรีท ร้านกินดื่ม และตึกรามบ้านช่องแบบเก่า ทำให้ผู้คนสามารถเดินเที่ยวได้อย่างชิลล์ๆ

"Suzuran-dori" มีอาหารจากทั่วทุกมุมโลกให้เลือก
แหล่งภาพ:Photo-ac

มีร้านอาหารเชนและร้านค้าขนาดใหญ่มากมายบนช้อปปิ้งสตรีท
แหล่งภาพ:Photo-ac

ในซันจะมีช้อปปิ้งสตรีทหลักอยู่ 3 สาย "ซันวะช้อปปิ้งสตรีท" ซึ่งมีหลังคาสีฟ้าตลอดทางเดินเพื่อกันแดดและฝน คุณจึงสามารถเพลิดเพลินกับการชอปปิ้งได้แม้ในวันฝนตก "โชเอไคช้อปปิ้งสตรีท" ที่มีร้านเชนและร้านค้าขนาดใหญ่มากมาย ทั้งยังมีร้านค้าสไตล์ย้อนยุคสมัยโชวะในโซน "ECO Nakamise" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านเล็กๆที่ไม่มีแบรนด์ หากคุณต้องการหาอาหารอร่อยๆ ทาน แนะนำให้ไปที่ "ถนนซูซูรัน" ที่อยู่ติดกับสถานี บนถนนเส้นนี้มีทั้งอาหารญี่ปุ่น จีน อินเดีย หรืออาหารนานาชาติจากหลากหลายประเทศ เรียกได้ว่าอยากกินอะไรมีให้หมด

อิเคจิริ โอฮาชิ: ย่านที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟและขนมปัง

สะพานอิเคจิริ โอฮาชิตั้งอยู่ใกล้กับนากาเมกุโระ และยังเป็นจุดชมดอกไม้อีกด้วย
แหล่งภาพ:สมาคมร้านค้าสถานีอิเคจิริ โอฮาชิ

อิเคจิริ โอฮาชิอยู่ห่างจากชิบูย่าเพียง 1 สถานี และใช้เวลาเดินเพียง 20 นาทีจากนากาเมกุโระ ที่นี่เป็นสวรรค์สำหรับการชมซากุระและเป็นสถานที่อันแสนสะดวกสบายหากคุณต้องการเดินเล่นโดยไม่ต้องใช้เวลานานมากไปนัก แม้ว่าจะเป็นย่านที่พักอาศัย แต่เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้กับย่านชิบูย่า นากาเมกุโระ และเอบิสึอันพลุกพล่าน จึงมีร้านขายของน่ารักๆ และร้านกาแฟที่มีเอกลักษณ์ที่ถูกตกแต่งอย่างเก๋ไก๋และมีบรรยากาศอันผ่อนคลายมากมาย

ร้านเบเกอรี่ชื่อดัง "TOLO PAN TOKYO"
แหล่งภาพ:TOLO PAN TOKYO Facebook

“สวนลอยฟ้าเมกุโระ” บนหลังคาทางแยกต่างระดับโอฮาชิ
แหล่งภาพ:สำนักงานการท่องเที่ยวโตเกียว

หากคุณนั่งรถไฟไปที่ อิเคจิริ โอฮาชิ เมื่อออกจากสถานีตรงประตูทางออกด้านทิศตะวันออก จะพบกับช้อปปิ้งสตรีทซึ่งมีร้านค้าและร้านขนมปังมากมายตลอดทาง จริงๆ แล้ว อิเคจิริ โอฮาชิ มีอีกชื่อที่รู้จักกันดีคือ "สวรรค์แห่งขนมปัง" และ ร้านสีขาว "TOLO PAN TOKYO" ก็เป็นร้านดังที่มีคิวยาวเหยียดตลอดทั้งวัน ในย่านนี้ คุณจะพบว่าที่ทุกที่ที่มีร้านขนมปังจะมีร้านกาแฟอยู่เคียงข้างกันเสมอ ทำให้ทั่วบริเวณอบอวลไปด้วยกลิ่นขนมปังและกาแฟหอมหวลชวนกินตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ ยังมีสวนสาธารณะหลายแห่งรอบๆ อิเคจิริ โอฮาชิ เช่น "สวนลอยฟ้าเมกุโระ" บนหลังคาทางแยกต่างระดับ "สวนเซตากายะ" อันเขียวชอุ่ม และ "สวนฮิกาชิยามะ" ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อน เป็นต้น เหมาะแก่การพาเด็กๆ ไปเดินเล่นอย่างยิ่ง

อะคาบาเนะ: ย่านร้านค้าและแม่น้ำ สองสิ่งที่แตกต่างลงตัว

ช้อปปิ้งสตรีท "LaLa Garden" มีร้านค้ามากมายและสะดวกต่อการช้อปปิ้ง
แหล่งภาพ:COCOLOMACHI

สถานี อะคาบาเนะ เป็นสถานีที่สามารถใช้บริการรถไฟได้หลายสายคือ JR Keihin Tohoku, สาย Utsunomiya, สาย Saikyo และสาย Shonan Shinjuku ซึ่งสะดวกแก่การเดินทางมาก ใช้เวลาเพียง 15 นาทีถึงชินจูกุ, 17 นาทีถึงสถานีโตเกียว และยังสามารถเดินทางไปจังหวัดไซตามะได้ในทันที แม้ว่าจะยังอยู่ในเขตโตเกียว แต่ค่าครองชีพถือว่าถูกกว่าที่อื่น และมีบรรยากาศแบบเมืองเก่า จึงทำให้ช่วงหลังๆ มักจะติดอันดับ "เมืองที่น่าอยู่" ในอันดับต้นๆ

"อิวาบุจิมินาโตะ" ประตูกั้นน้ำสีแดงมักถูกใช้เป็นสถานที่จัดแสดงพลุเป็นประจำ
แหล่งภาพ:เว็บไซต์ทางการของการท่องเที่ยวโตเกียว

"สวนสาธารณะคิโยมิสึซากะเขตคิตะ" มีสไลเดอร์ยาว 52 เมตร ซึ่งเหมาะแก่การพาเด็กๆ มาเล่น
แหล่งภาพ:กองถนนและสวนสาธารณะ กระทรวงวิศวกรรมโยธาและการก่อสร้าง เขตคิตะ โตเกียว

มีถนนช้อปปิ้งมากมายรอบๆ สถานี Akabane แค่ออกจากสถานีก็จะเจอกับศูนย์การค้า"ecute Akabane" ซึ่งมีร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านหนังสือ ร้านดอกไม้ และร้านค้าอื่นๆ ที่มีของกินของใช้พื้นฐานครบถ้วนให้เลือกซื้อ นอกจากนี้ยังมี” Beans Akabane", "Fuji GARDEN" ซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมๆ แล้วมีร้านอาหารกว่า 100 ร้านในตึกหน้าสถานี ช้อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่อย่าง "Bivio" และ "Ito-Yokado" ก็มีทุกอย่างให้เลือกสรร นอกจากนี้ อะคาบาเนะยังมีช้อปปิ้งสตรีทอีกมากมาย อย่าง "LaLa Garden" ที่มีร้านค้ามากมายนับร้อยร้าน "ช้อปปิ้งสตรีท Akabane Ichiban" ที่เป็นสวรรค์สำหรับนักดื่มที่อยากให้คุณได้มาลอง หากเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการเดินจากสถานีออกมาประมาณ 15 นาที คุณจะพบกับโซนธรรมชาติแถบแม่น้ำอาราคาวะ, "อิวาบุจิมินาโตะ" ที่มักถูกใช้จัดเทศกาลดอกไม้ไฟ, "สวนธรรมชาติอาคาบาเนะ" ที่สามารถกินบาร์บีคิวได้ และ "สวนสาธารณะคิโยมิสึซากะเขตคิตะ" ที่มีสไลเดอร์ยาว 52 เมตร และในช่วงฤดูใบไม้ผลิ คุณยังสามารถมาชมความสวยงามของซากุระมากกว่า 100 ต้นได้ที่ "Arakawa Akabane Sakurabank Green Space"!

มุซาชิโคยามะ: ย่านที่รวมเอาบรรยากาศของเมืองใหม่และเก่าเอาไว้ด้วยกัน

ช้อปปิ้งสตรีทสไตล์อาร์เคดที่ยาวที่สุดในโตเกียว "Musashi Koyama Shopping Arcade Palm"

มุซาชิ โคยามะ ตั้งอยู่ในเขตชินากาวะ ห่างจากชิบุยะเพียง 15 นาทีหากเดินทางโดยรถยนต์ และห่างจากเมกุโระ 4 นาที แม้ว่าจะตั้งอยู่ใกล้กับใจกลางเมืองมาก แต่ก็มีบรรยากาศที่ชวนให้คิดถึงอดีตและให้ความรู้สึกเป็นกันเอง มีช้อปปิ้งสตรีทสไตล์อาร์เคดที่ยาวที่สุดในโตเกียว "Musashi Koyama Shopping Street Palm" ซึ่งคุณสามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างไร้กังวลแม้ในวันที่ฝนตก และมีร้านขายของมือสองมากมายสำหรับของใช้ในชีวิตประจำวัน ของเล่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเสื้อผ้า ใครที่ชอบตามล่าหาของดีราคาถูกรับรองว่าต้องชอบ นอกจากนี้ยังมี "THE MAAL" ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ทั้งร้าน MUJI ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ฯลฯ และ "Rinshi no Mori Park" สวนสาธารณะขนาดใหญ่อายุนับร้อยปี ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่พ่อแม่ที่ยังมีอายุไม่มากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

มีร้านค้ามือสองมากมายบนช้อปปิ้งสตรีทที่คุณสามารถตามล่าหาของถูกและดีได้

วนอุทยานอายุนับศตวรรษครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่และมีระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์

เป็นเรื่องยากที่จะหาแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติในโตเกียว แต่ "ชิมิซึยุ" เป็นแหล่งน้ำพุร้อนอายุนับศตวรรษที่ถูกค้นพบในมุซาชิโคยามะในปี 1923 ซึ่งมีแหล่งน้ำพุร้อนสีดำและสีทองที่ว่ากันว่ามีสรรพคุณบำรุงผิวพรรณและฟื้นฟูร่างกายได้ดี แค่กำเหรียญ 500 เยนมาเหรียญเดียวก็ก็สามารถแช่น้ำพุร้อนได้! หากเดินไปสุดช้อปปิ้งสตรีท Musashi Koyama แล้วข้ามถนนไป คุณจะพบกับช้อปปิ้งสตรีทที่ยาวที่สุดในโตเกียว "ช้อปปิ้งสตรีท Togoshi Ginza" ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์สำหรับอาหารเลิศรส นอกจากนี้ยังมี "Togoshi Ginza Onsen" ให้ได้แช่น้ำอีกด้วย ใครที่ชอบทั้งเซ็นโต (โรงอาบน้ำ) และออนเซ็น (บ่อน้ำพุร้อน) แนะนำให้มาที่มุซาชิ โคยามะ เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!

โยโยกิ อุเอฮาระ: โอเอซิสของชิบุย่า แหล่งลับสวรรค์นักชิม!

มัสยิดใหญ่โตเกียว แลนด์มาร์คที่รู้จักกันดีในโยโยกิอุเอฮาระ

โยโยกิ อุเอฮาระ ห่างจากฮาราจูกุและชินจูกุด้วยการขับรถเพียง 10 นาที และคุณยังสามารถขี่จักรยานไปยังสวนสาธารณะโยโยกิซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก หรือชิโมคิตะซาวะซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกได้ หากคุณเบื่อกับการช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แต่ก็ยังอยากชอปจากร้านคุณภาพ ต้องมาที่โยโยกิ อุเอฮาระเลย! โยโยกิ อุเอฮาระเคยเป็นส่วนหนึ่งของ "หมู่บ้านโยโยกิ" ที่มาของชื่อสถานที่คือ "ทุ่งหญ้าบนเนินสูงที่มองเห็นจากหมู่บ้านโยโยกิ" เดิมเคยเป็นพื้นที่อันเงียบสงบที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าจนกระทั่งสมัยเมจิ หลังจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่คันโตในปี 1923 โยโยกิ อุเอฮาระได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย ประกอบกับการเปิดเส้นทางรถไฟสายโอดะคิว บริเวณนี้จึงค่อยๆ กลายเป็นพื้นที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ และร้านค้าแฟชั่นต่างๆ ก็ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่คนหนุ่มสาวใฝ่ฝันที่จะอยู่อาศัย หลายคนถึงกับพูดว่า "หากคุณอาศัยที่โยโยกิ อุเอฮาระแล้ว คุณจะไม่มีวันอยากย้ายไปอยู่ที่อื่นอีก" นี่แสดงให้เห็นว่าโยโยกิ อุเอฮาระมีเสน่ห์เพียงใด

วาฟเฟิลเยอรมันของ PATH คุ้มค่าแก่การต่อคิวลอง

โยโยกิ อุเอฮาระตั้งอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะโยโยกิ คุณสามารถเช่าจักรยานปั่นเล่นในสวนได้

แลนด์มาร์คที่เป็นที่รู้จักกันดีของโยโยกิ อุเอฮาระคือ "มัสยิดใหญ่โตเกียว" ซึ่งมีภาพวาดที่สวยงามและสถาปัตยกรรมอันงดงามน่าทึ่งที่คุณสามารถเข้าชมได้ฟรี และที่โยโยกิ อุเอฮาระยังมีร้านที่ไม่ได้หวือหวาแต่เลิศรสมากมาย เช่น "Anda Gyoza" ที่ได้รางวัล Bib Gourmand จากมิชลิน ร้าน "Main Mano" ร้านขนมปังที่มัตสึ ทาคาโกะ มักจะแวะมาในฉากละครญี่ปุ่นเรื่อง "Omameda Towako and Her Three Ex-Husbands" และวาฟเฟิลเยอรมันจากร้านชื่อดัง "PATH" ก็คู่ควรแก่การลอง!

แปลกใจไหมที่แหล่งเที่ยวลับเหล่านี้ จริงๆ แล้วอยู่ไม่ไกลจากแหล่งชอปปิ้งที่คุณคุ้นเคยเลย? ครั้งหน้าที่มาโตเกียวลองวางแผนมาเดินเล่นตามที่เหล่านี้ดูสิ แล้วคุณจะตกหลุมรักโตเกียวอีกครั้ง!!